ชีวภาพป้องกันโรคพืช ตราโกลเด้น ฟลาวเวอร์: ฉีดพ่นให้ทั่วลำต้น เพื่อให้ต้นไม้แข็งแรง เพื่อป้องกัน ราสนิม ราน้ำค้าง โรครากเน่า โรคใบแห้ง

ปริมาณธาตุอาหารรอง: แมกนีเซี่ยมที่ละลายน้ำ (Mg) 1%
ปริมาณธาตุอาหารเสริม: โบรอนที่ละลายน้ำ (B) 1%


อัตราการใช้ :
พืชกลุ่มที่ 1: แตงต่างๆ ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา มะเขือต่างๆ ไม้ประดับ และไม้ผล ---> ใช้ โกลเด้น ฟลาวเวอร์ ป้องกันแมลง 50-60ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร

พืชกลุ่มที่ 2: พืชผักตระกูลกระหล่ำ---> ใช้ โกลเด้น ฟลาวเวอร์ ป้องกันแมลง 50-60ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร

พืชกลุ่มที่ 3: พืชหัว หอม แครอท มันฝรั่ง สับปะรด---> ใช้ โกลเด้น ฟลาวเวอร์ ป้องกันแมลง 50-60ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร

พืชกลุ่มที่ 4: ข้าว---> เริ่มฉีดครั้งแรก ในระยะต้นกล้า เมื่อข้าวมีอายุ 20-30 วัน ในอัตรา 50-60ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร, ฉีดพ่นครั้งต่อไป เว้นระยะ 15 วัน และระยะตั้งท้อง ในอัตรา 50-60ซีซี ต่อน้ำ 20ลิตร โดยฉีด 2 ครั้ง ครั้งต่อไป เว้นระยะ 15วัน

วิธีการใช้: พ่นให้เป็นฝอยละอองเล็กๆ พอเปียกทั่วใบ และทุกๆส่วนของพืช ทุก7-10 วัน

ปุ๋ยเหลวอาจมีก๊าซเกิดขึ้น และอาจเป็นอันตรายได้ง่าย ควรเปิดด้วยความระมัดระวัง


**โหลละ 340 บาท***

ปลีก-ส่ง: โทร 081-9111285, 093-7411169

***แถม หัวเขื้อ 1 ขวด, สำหรับผสมน้ำเพิ่มได้อีก 1 ขวด(500ซีซี)***


ชีวภาพสกัด ขนาดบรรจุ 500 ซีซ๊ ใช้สำหรับ กำจัดและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคพืชที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา และ แบคทีเรีย ช่น รากเน่า โคนเน่า โรคจุดวงแหวน ราน้ำค้าง ราสีม่วง ราสนิม แคงเกอร์ แอนแทรคโนส โรคกาบใบแห้ง โรคใบจุด โรคใบไหม้ และอื่นๆ


วิธีและอัตราการใช้:
- เขย่าขวดก่อนใช้ทุกครั้ง
- คลายหัวฉีดที่ล็อคอยู่ ปรับตั้งหัวฉีดให้น้ำที่ออกมาเป็นฝอยๆ
- ฉีดช่วงเช้า หรือตอนเย็นที่อากาศไม่ร้อน
- ฉีดพ่นก่อนปลูก 5-7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย ที่อยู่บนดิน และใต้ดิน
- ฉีดพ่นลงดินหลังปลูก เพื่อป้องกันเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส
- ใช้ราดโคนต้น เพื่อรักษาโรคเน่า และโรคต่างๆ
- ใช้ฉีดพ่น หรือรดให้ทั่วทั้งใบและลำต้นทุกๆ 7-10 วัน เพื่อป้องกันเชื้อรา และแบคทีเรีย ที่เกิดจากพืช
- เมื่อปลอดโรคแล้ว ฉีดพ่นหรือรดทุกๆ 1-3 เดือน ต่อ ครั้ง



* จำหน่ายปลีก/ ส่ง: ติดต่อ คุณเปิ้ล/ 081-9111285 *

อินดิวเซอร์ (ชีวภาพฆ่าเชื้อรา)

ชื่อสามัญ: ไตรโคเดอร์มา ฮาร์เซียนัม (Trichoderma harzianum)


ประโยชน์: ใช้ป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนส (antracnose) ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides และ Colletotrichum capsici

ไตรโคเดอร์ม่า คือ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ มีหน้าที่ป้องกันและกำจัดเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรตพืช เช่นเชื้อราไฟท็อปเทอร่า, เชื้อราพิเทียม, เชื้อราฟูซาเรียม, เชื้อราเมล็ดผักกาด, ไรชอคโทเนีย., etc


เป็นสารชีวภาพ ไม่เป็นอันตรายต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ใช้ป้องกันและกำจัด โรคราสนิม,โรคราน้ำค้าง,โรคแคงเกอร์,โรคแอนแทรคโนส,โรคโคนเน่า,โรคกิ่งเน่า,โรครากเน่า,โรคใบจุด,โรคเถายุบ,โรคเถาเหี่ยว

อัตราการใช้:
1) กรณีใช้แบบแห้ง: นำไตรโคเดอร์ม่า 1 ส่วน + ปุ๋ยอินทรีย์ 20 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน

2) กรณีฉีดพ่น: ไตรโคเดอร์ม่า 100 กรัม + น้ำ 20ลิตร ผสมให้เข้ากัน

ประโยชน์ และวิธีการใช้:
- ใช้รองก้นหลุมก่อนปลูก, ใช้โรยบางๆรอบทรงพุ่ม และใช้โรยบางๆให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก จะแก้ปัญหาเชื้อโรค/ เชื้อรา ได้

- ใช้เป็นประจำ: ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน จะแก้ปัญหาเชื้อโรค/ เชื้อรา ได้, ควรพ่นในเวลาเช้าตรู่หรือเวลาเย็น เนื่องจากเชื้อไตโคเดอร์ม่าเป็นสิ่งมีชีวิต แสงแดดจะทำให้เชื้อลดประสิทธิภาพลง


วิธีเก็บรักษา: เก็บในภาชนะปิดแน่น มีฉลากปิดอยู่ และไม่ให้ถูกแสงแดด เก็บในที่แห้งและเย็นหรืออุณหภูมิห้อง ห่างไกลจากเด็ก อาหาร น้ำดื่ม สัตว์เลี่ยง และเปลวไฟ


คำเตือน: อินดิวเซอร์ เป็นเชื้อจุลินทรีย์ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการใช้ และปลอดภัยต่อผู้ใช้ และสภาพแวดล้อม ผู้ใช้ควรปฎิบัติ ดังนี้
1. ห้ามดื่มน้ำ กินอาหาร หรือสูบบุหรี่ในขณะปฎิบัติงาน
2. ห้ามเทเชื้อที่เหลือ หรือล้างภาชนะบรรจุ อุปกรณ์ เครื่องพ่นสารลงในแม่น้ำ ลำคลอง หรือบริเวณใกล้เคียง เมื่อใช้เชื้อหมดแล้ว
3.ห้ามใช้ไฟเผาภาชนะบรรจุ หรือนำกลับมาใช้อีก
4.ห้ามเด็ก และผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าาภายในบริเวณพ่นเชื้อ
5.ขณะผสม ต้องสวมถุงมือและหน้ากาก ใช้ไม้กวน
6.ขณะพ่นเชื้อ ต้องอยู่เหนือลมเสมอ
7.ต้องล้างมือ และล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำ ก่อนกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือสูบบุหรี่
8.หลังจากทำงานเสร็จแล้ว ต้องอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า และซักชุดที่สวมทำงานให้สะอาด ภาชนะเมื่อใช้หมดแล้ว ให้กลั้วล้างด้วยน้ำเปล่า 3 ครั้ง กำจัดภาชนะโดยการฝังดิน
9.ระวัง อย่าให้เข้า ปาก ตา จมูก ผิวหนัง หรือถูกเสื้อผ้า
10. เป็นพิษต่อเห็ดฟาง ห้ามใช้ในบริเวณที่เพาะเห็ดฟาง
11. ห้ามเก็บเกี่ยวพริก หลังจากำ่นครั้งสุดท้าย 1 วัน

อาการเกิดพิษ: ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับการเกิดพิษของเชื้อนี้

การแก้พิษเบื้องต้น:
1.การเกิดพิษเนื่องจากการสูดดม รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ใช้ ให้พักผ่อนในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หากอาการไม่ทุเลาให้ไปพบแพทย์
2. หากเข้าตา ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากนาน 15 นาที หากอาการไม่ทุเลา ให้ไปพบแพทย์
3.ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างออกด้วยสบู่และน้ำนานๆ จนสะอาด ถ้าเปือนเสื้อผ้า ให้รีบอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที
4.ถ้าเข้าปาก ให้รีบบ้วนน้ำล้างปาก ห้ามกลืนกิน ห้ามทำให้อาเจียน และห้ามให้น้ำ เครื่องดื่ม หรืออาหารใดๆ ทั้งสิ้น รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที พร้อมภาชนะบรรจุและฉลาก

คำแนะนำสำหรับแพทย์: รักษาตามอาการ

กำมะถัน: ซัลเฟอร์ (sulfer)

ประโยชน์:
แก้โรคพืช เป็นอาหารเสริมในพืช
กำจัดหนอน ไรศัตรูพืช ใช้ป้องกัน งู ตะขาบ และ สัตว์เลื้อยคลานมีพิษ แก้โรคผิวหนัง เช่น เรื้อนในสัตว์
เป็นลูกเหม็นในห้องสุขาชาย บำบัดน้ำเสีย

กำมะถัน: ซัลเฟอร์ (sulfer)

ประโยชน์:
แก้โรคพืช เป็นอาหารเสริมในพืช
กำจัดหนอน ไรศัตรูพืช ใช้ป้องกัน งู ตะขาบ และ สัตว์เลื้อยคลานมีพิษ แก้โรคผิวหนัง เช่น เรื้อนในสัตว์
เป็นลูกเหม็นในห้องสุขาชาย บำบัดน้ำเสีย

แคปทาไซด์ เป็นยากำจัดเชื้อรา ประเภทเดียว กับ ออโธไซด์ มีชื่อสามัญว่า แคปแทน (CAPTAN)

กลุ่มสารเคมี: Phthalimide

สารสำคัญ: N-(trichloromethylthio) cyclohex-4-ene-1,2-dicarboximide....50% WP


ประโยชน์: ใช้ป้องกันและกำจัดโรคที่เกิดจากเชื้อรา Pseudocercospora dendrobii ZZ

ให้ผลในทางป้องกันและกำจัด
โรคพืชที่กำจัดได้ โรคเน่าดำ โรคเน่าสีน้ำตาล โรคใบจุด โรคราน้ำค้าง โรคใบไหม้ แอนแทรคโนส เน่าคอดิน

วิธีใช้: ใช้อัตรา 30-40กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่ว เมื่อพบการระบาดของโรค และพ่นซ้ำทุก 7 วัน

วิธีเก็บรักษา: เก็บในภาชนะที่ปิดให้แน่น มีฉลากติดอยู่ และไม่ให้ถูกแสงแดด สถานที่เก็บต้องแห้งและเย็น ห่างไกลจากเด็ก อาหาร น้ำดื่ม สัตว์เลี้ยง และเปลวไฟ

อาการเกิดพิษ: ถ้าเข้าตา จมูก หรือสัมผัสผิวหนัง จะก่อให้เกิดอาการระคายเคือง คัน แสบตา

การแก้พิษเบื้องต้น:
1. ถ้าเกิดพิษนื่องจากสูดดม-ให้รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ใช้ และให้พักผ่อนในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หากอาการไม่ทุเลา รีบไปพบแพทย์
2. ถ้าเข้าตา-ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดจำนวนมาก นาน 15 นาที หากอาการไม่ทุเลา รีบไปพบแพทย์
3. ถ้าถูกผิวหนัง-ให้ล้างออกด้วยสบู่และน้ำจนสะอาด ถ้าเปื้อนเสื้อผ้าให้รีบอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที
4.ถ้าเข้าปาก-ให้รีบบ้วนน้ำล้างปาก หากกลืนกิน ห้ามทำให้อาเจียน และห้ามให้น้ำเครื่องดื่ม หรืออาหารใดๆทั้งสิ้น รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที พร้อมภาชนะบรรจุและฉลาก


คำแนะนำสำหรับแพทย์:
1. รักษาตามอาการ
2. หากกลืนกินเข้าไปจำนวนมาก และยังไม่ท้องเสีย หรืออาเจียนออกมาภายใน 1 ชั่วโมง ให้ผู้ป่วยกิน activated charcoal 25 กรัม ผสมน้ำ 300 มิลลิลิตร และ sorbitol 70% 1-2 ม.ล/ กิโลกรัม น้ำหนักตัว (เด็กต่ำกว่า 12 ปี ลดขนาดเป็น sorbitol 35% 1.5-2.3ml/kg น้ำหนักตัว)

สารสำคัญ: methyl N-(methoxyacetyl)-N-(2,6-xylyl)-DL-alaninate 25% WP



1.โรคลำต้นเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora cyperi (Ideta), อัตราการใช้ 12 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีในระยะต้นพืชสูงประมาณ 1 เมตร จากนั้นพ่นห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์

2.โรคเน่าเข้าไส้หรือเน่าดำ: เชื้อสาเหตุ Phytophthora palmivora (Butl.) Butl., อัตราการใช้ 40 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีให้ทั่วต้น เมื่อพบการระบาดของโรค และพ่นซ้ำทุกๆ 7 วัน

3.โรครากและโคนเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora palmivora (Butler) Butler, อัตราการใช้ 50-60 กรัม/ น้ำ 1 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีให้ทั่วต้น. ใช้ทาบริเวณแผล ซึ่งก่อนทาต้องถากเปลือกออกบางๆ จนถึงเนื้อดีที่อยู่บริเวณรอบๆเพื่อให้การดูดซึมดีขึ้น

4.โรคต้นเน่า: เชื้อสาเหตุ Pythium aphanidermatum อัตราการใช้ 10 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีให้ทั่วทั้งใบเพื่อป้องกันการระบาดของโรค แต่ไม่สามารถรักษาต้นที่เป็นโรคแล้ว

5.โรคเน่าคอดิน: เชื้อสาเหตุ Phytophthora nicotianae B.de Hannvar.parasitica (Dast.) Waterh. และ Rhizoctonia solani Kuehn, อัตราการใช้ 7 กรัม/ เมล็ด 1 ก.ก., วิธีใช้ ใช้คลุกเมล็ดก่อนปลูก

6.โรคใบไหม้หรือใบจุดตาเสือ: เชื้อสาเหตุ Phytophthora colocasiae Rac., อัตราการใช้ 2-3 กรัม/ ต้น., วิธีใช้ หยอดลงไปที่โคนต้นจะสามารถป้องกันได้ประมาณ 1 เดือนขึ้นไป

7.โรคยอดเน่าหรือโคนเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora Parasitica Dastur., อัตราการใช้ 20-40 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร., วิธีใช้ จุ่มหน่อพันธ์ก่อนปลูก หลังจากปลูก ป้องกันโดยการพ่นที่ยอดทุกๆ 2 เดือน

8.กล้ายางพารา : โรคใบร่วง ใช้อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นกล้ายางทุก 7-14 วัน ควรป้องกันโดยพ่นในช่วงฤดูฝนก่อนพบอาการใบร่วง

9. ยางพารา : โรคเส้นดำ ใช้อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ทาหน้ากรีดยางทุก 2-4 วันหรือทุกครั้งที่กรีดยาง ในช่วงฝนตกชุกให้ใช้อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรทาที่หน้ากรีดยางทันทีที่มีโอกาส


วิธีเก็บรักษา: ต้องเก็บ metalaxyl ในภาชนะเดิมที่ปิดแน่น มีฉลากติดอยู่ และไม่ให้ถูกแสงแดด สถานที่เก็บต้องให้แห้งและเย็น ห่างไกลจากเด็ก อาหาร น้ำดื่ม สัตว์เลี้ยงและเปลวไฟ


คำเตือน: เมทาแลกซิล เป็นวัตถุอันตรายที่มีพิษ ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ


ข้อปฎิบัติสำหรับผู้ใช้:
- ห้ามดื่มน้ำ กินอาหาร หรือสูบบุหรี่ในขณะปฎิบัติงาน
- ห้ามคน และนำสัตว์ เข้าไปในบริเวณที่พ่นอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ห้ามเทสารที่เหลือ หรือล้างภาชนะบรรจุ อุปกรณ์เครื่องพ่นสาร ลงในแม่ย้ำลำคลอง หรือบริเวณใกล้เคียง
- ห้ามใช้ไฟเผาภาชนะบรรจุ หรือนำกลับไปใช้อีก
- ห้ามเด็ก และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยังบริเวณที่กำลังฉีดพ่น
- ขณะผสม ต้องสวมถุงมือ และหน้ากาก เพื่อป้องกันไม่ให้สารเข้มข้นถูกผิวหนัง และกระเด็นเข้าตา การผสมให้ใช้ไม้กวน
- ขณะพ่นต้องอยู่เหนือลมเสมอ และควรสวมถุงมือและหน้ากาก
- ต้องล้างมือและหน้า ให้สะอาดด้วย ด้วยสบู่และน้ำ ก่อนกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือสูบบุหรี่
- หลังจากทำงานเสร็จแล้ว ต้องอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า และซักชุดที่สวมทำงานให้สะอาด
- ภาชนะเมื่อใช้หมดแล้ว ให้กลั้วล้างด้วยน้ำ 3 ครั้ง และรวมเอาน้ำล้างไปใช้ผสมฉีดพ่น
- กำจัดภาชนะบรรจุ โดยทำลายแล้วฝังดิน หรือรวมทิ้งให้ปลอดภัย
- ระวัง อย่าให้เข้าปาก ตา จมูก หรือถูกผิวหนัง และเสื้อผ้า
- เป็นพิษต่อปลา: ต้องระวังการชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ



อาการเกิดพิษ: ผู้ได้รับพิษอาจมีอาการเซื่องซึม หายใจขัด เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อสั่นกระตุก มือสั่น

การแก้พิษเบื้องต้น:
- ต้องสวมถุงมือยาง และหน้ากาก ป้องกันการสัมผัสสารพิษจากวัตถุอันตรายขณะให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย
- ถ้าเกิดพิษเนื่องจากการสูดดม รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ใช้ และให้พักผ่อนในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หากอาการไม่ทุเลารีบไปพบแพทย์
- ถ้าเข้าตาให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากนาน 15 นาที หากอาการไม่ทุเลา รีบไปพบแพทย์
-ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างออกด้วยสบู่และน้ำจนสะอาด
- ถ้าเปื้อนเสื้อผ้าให้รีบอาบน้ำ แะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที
- ถ้าเข้าปาก ให้รีบบ้วนปาก
- หากกลืนกินและยังมีสติ กระตุ้นให้อาเจียน โดยให้ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว แล้วล้วงคอ จากนั้นรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที พร้อมภาชนะบรรจุและฉลาก ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ห้ามทำให้อาเจียน และห้ามให้น้ำ เครื่องดื่ม หรืออาหารใดๆทั้งสิ้น

คำแนะนำสำหรับแพทย์:
1. รักษาตามอาการ
2. หากกลืนกินเข้าไปจำนวนมาก ไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง และยังไม่อาเจียนออกมา ให้ขับพิษออกโดยใช้ activated charcoal 25 g. ผสมน้ำ 300 ml. ตามด้วย sorbitol 70% 1-2 ml/kg น้ำหนักตัว (เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ลดขนาดเป็น sorbito; 35% 1.5-2.3 ml/kg น้ำหนักตัว)

ฟังกูราน(คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ copper hydroxide) เป็นสารเคมี ที่อยู่ในกลุ่ม Inorganic

สารสำคัญ: copper hydroxide 77% WP

ประโยชน์และวิธีใช้: ใช้ป้องกันและกำจัดเชื้อ Xanthomanas axonopodis pv. citri ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคแคงเกอร์ในมะนาว ใช้อัตรา 15-20กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อมะนาวเริ่มแตกใบอ่อน


วิธีเก็บรักษา: ต้องเก็บให้มิดชิดในภาชนะเดิมที่ปิดแน่น และมีฉลากติดอยู่ และไม่ให้ถูกแสงแดด สถานที่เก็บต้องแห้งและเย็น ห่างไกลจากเด็ก อาหาร น้ำดื่ม สัตว์เลี้ยง และเปลวไฟ

ข้อปฎิบัติสำหรับผู้ใช้:
- ห้ามดื่มน้ำ กินอาหาร หรือสูบบุหรี่ในขณะปฎิบัติงาน
- ห้ามคน และนำสัตว์ เข้าไปในบริเวณที่พ่นอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ห้ามเทสารที่เหลือ หรือล้างภาชนะบรรจุ อุปกรณ์เครื่องพ่นสาร ลงในแม่ย้ำลำคลอง หรือบริเวณใกล้เคียง
- ห้ามใช้ไฟเผาภาชนะบรรจุ หรือนำกลับไปใช้อีก
- ห้ามเด็ก และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยังบริเวณที่กำลังฉีดพ่น
- ขณะผสม ต้องสวมถุงมือ และหน้ากาก เพื่อป้องกันไม่ให้สารเข้มข้นถูกผิวหนัง และกระเด็นเข้าตา การผสมให้ใช้ไม้กวน
- ขณะพ่นต้องอยู่เหนือลมเสมอ และควรสวมถุงมือและหน้ากาก
- ต้องล้างมือและหน้า ให้สะอาดด้วย ด้วยสบู่และน้ำ ก่อนกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือสูบบุหรี่
- หลังจากทำงานเสร็จแล้ว ต้องอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า และซักชุดที่สวมทำงานให้สะอาด
- ภาชนะเมื่อใช้หมดแล้ว ให้กลั้วล้างด้วยน้ำ 3 ครั้ง และรวมเอาน้ำล้างไปใช้ผสมฉีดพ่น
- กำจัดภาชนะบรรจุ โดยทำลายแล้วฝังดิน หรือรวมทิ้งให้ปลอดภัย
- ระวัง อย่าให้เข้าปาก ตา จมูก หรือถูกผิวหนัง และเสื้อผ้า
- เป็นพิษต่อปลา: ต้องระวังการชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ


อาการเกิดพิษ:
- ถ้าเข้าตาหรือผิวหนังจะทำให้อักเสบ แสบ ร้อน
- ถ้าหายใจเอาละอองเข้าไป จะมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก และรู้สึกมีรสของโลหะอยู่ในปาก
- ถ้าได้รับพิษทางปาก จะทำให้แสบร้านในปาก และคอ กระเพาะลำไส้อักเสบ อาเจียน ท้องเสีย

การแก้พิษเบื้องต้น:
- ต้องสวมถุงมือยางธรรมชาติ และหน้ากาก ป้องกันการสัมผัสสารพิษ ขณะให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย
- ถ้าเกิดอาการพิษเนื่องจากการสูดดม รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ใช้ และให้พักผ่อนในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
- ถ้าเข้าตา ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากนาน 15 นาที หากอาการไม่ทุเลารีบไปพบแพทย์
- ถ้าถูกผิวหนัง ให้ล้างออกด้วยสบู่และน้ำจนสะอาด
- ถ้าเปื้อนเสื้อผ้า ให้รีบอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที
- ถ้าเข้าปาก ให้รีบบ้วนน้ำล้างปาก
- หากกลีนกิน ห้ามทำให้อาเจียน และห้าม ให้น้ำ เครื่องดื่ม หรืออาหารใดๆทั้งสิ้น

- รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที พร้อมภาชนะบรรจุและฉลาก


คำแนะนำสำหรับแพทย์:
- รักษาตามอาการ
- หากกลืนกินเข้าไปจำนวนมาก ให้ล้างท้องแล้วตามด้วย activated charcoal 25 กรัม ผสมน้ำ 300 มิลลิลิตร และ sorbitol 70% 1-2 ml/kg น้ำหนักตัว (เด็กต่ำกว่า 12ปี ลดขนาดเป็น 35% 1.5-2.3ml/kg น้ำหนักตัว)

ฟังกูราน(คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ copper hydroxide) เป็นสารเคมี ที่อยู่ในกลุ่ม Inorganic

สารสำคัญ: copper hydroxide 77% WP

ประโยชน์และวิธีใช้: ใช้ป้องกันและกำจัดเชื้อ Xanthomanas axonopodis pv. citri ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคแคงเกอร์ในมะนาว ใช้อัตรา 15-20กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อมะนาวเริ่มแตกใบอ่อน


วิธีเก็บรักษา: ต้องเก็บให้มิดชิดในภาชนะเดิมที่ปิดแน่น และมีฉลากติดอยู่ และไม่ให้ถูกแสงแดด สถานที่เก็บต้องแห้งและเย็น ห่างไกลจากเด็ก อาหาร น้ำดื่ม สัตว์เลี้ยง และเปลวไฟ

ข้อปฎิบัติสำหรับผู้ใช้:
- ห้ามดื่มน้ำ กินอาหาร หรือสูบบุหรี่ในขณะปฎิบัติงาน
- ห้ามคน และนำสัตว์ เข้าไปในบริเวณที่พ่นอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ห้ามเทสารที่เหลือ หรือล้างภาชนะบรรจุ อุปกรณ์เครื่องพ่นสาร ลงในแม่ย้ำลำคลอง หรือบริเวณใกล้เคียง
- ห้ามใช้ไฟเผาภาชนะบรรจุ หรือนำกลับไปใช้อีก
- ห้ามเด็ก และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยังบริเวณที่กำลังฉีดพ่น
- ขณะผสม ต้องสวมถุงมือ และหน้ากาก เพื่อป้องกันไม่ให้สารเข้มข้นถูกผิวหนัง และกระเด็นเข้าตา การผสมให้ใช้ไม้กวน
- ขณะพ่นต้องอยู่เหนือลมเสมอ และควรสวมถุงมือและหน้ากาก
- ต้องล้างมือและหน้า ให้สะอาดด้วย ด้วยสบู่และน้ำ ก่อนกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือสูบบุหรี่
- หลังจากทำงานเสร็จแล้ว ต้องอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า และซักชุดที่สวมทำงานให้สะอาด
- ภาชนะเมื่อใช้หมดแล้ว ให้กลั้วล้างด้วยน้ำ 3 ครั้ง และรวมเอาน้ำล้างไปใช้ผสมฉีดพ่น
- กำจัดภาชนะบรรจุ โดยทำลายแล้วฝังดิน หรือรวมทิ้งให้ปลอดภัย
- ระวัง อย่าให้เข้าปาก ตา จมูก หรือถูกผิวหนัง และเสื้อผ้า
- เป็นพิษต่อปลา: ต้องระวังการชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ


อาการเกิดพิษ:
- ถ้าเข้าตาหรือผิวหนังจะทำให้อักเสบ แสบ ร้อน
- ถ้าหายใจเอาละอองเข้าไป จะมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก และรู้สึกมีรสของโลหะอยู่ในปาก
- ถ้าได้รับพิษทางปาก จะทำให้แสบร้านในปาก และคอ กระเพาะลำไส้อักเสบ อาเจียน ท้องเสีย

การแก้พิษเบื้องต้น:
- ต้องสวมถุงมือยางธรรมชาติ และหน้ากาก ป้องกันการสัมผัสสารพิษ ขณะให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย
- ถ้าเกิดอาการพิษเนื่องจากการสูดดม รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ใช้ และให้พักผ่อนในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
- ถ้าเข้าตา ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากนาน 15 นาที หากอาการไม่ทุเลารีบไปพบแพทย์
- ถ้าถูกผิวหนัง ให้ล้างออกด้วยสบู่และน้ำจนสะอาด
- ถ้าเปื้อนเสื้อผ้า ให้รีบอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที
- ถ้าเข้าปาก ให้รีบบ้วนน้ำล้างปาก
- หากกลีนกิน ห้ามทำให้อาเจียน และห้าม ให้น้ำ เครื่องดื่ม หรืออาหารใดๆทั้งสิ้น

- รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที พร้อมภาชนะบรรจุและฉลาก


คำแนะนำสำหรับแพทย์:
- รักษาตามอาการ
- หากกลืนกินเข้าไปจำนวนมาก ให้ล้างท้องแล้วตามด้วย activated charcoal 25 กรัม ผสมน้ำ 300 มิลลิลิตร และ sorbitol 70% 1-2 ml/kg น้ำหนักตัว (เด็กต่ำกว่า 12ปี ลดขนาดเป็น 35% 1.5-2.3ml/kg น้ำหนักตัว)

สารบ่มผลไม้ บ่มทุเรียน สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช

อีทีฟอน(ethephon)

กลุ่มสารเคมี: ethylene generator

สารสำคัญ: 2-chloroethylphosphonic acid....52% W/V SL

ประโยชน์: ใช้ควบคุมการออกดอกของสับประรด

และสามารถใช้บ่มผลไม้ได้


วิธีใช้: ใช้อัตรา 6 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร และผสมปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 อัตรา 300กรัม โดยหยอดบริเวณยอดสับปะรด หยอดครั้งแรกเมื่อต้นสับปะรดมีอายุ 11 เดือน หรือต้นสับปะรดมีน้ำหนัก 2.5-3 กิโลกรัม และหยอดครั้งที่ 2 หลังจากหยอดครั้งแรก 7 วัน และควรหยอดในช่วงเย็นหรือค่ำ

อัตราการใช้: น้ำ 600 มิลลิลิตร ต่อ ไร่

วิธีการเก็บรักษา: ต้องเก็บพีคเทรล 52 ในภาชนะที่ปิดแน่น มีฉลากติดอยู่ และไม่ให้ถูกแสงแดด สถานที่เก็บต้องแห้งและเย็น ห่างไกลจากเด็ก อาหาร น้ำดื่ม สัตว์เลี้ยง และเปลวไฟ


การแก้พิษเบื้องต้น:
ต้อง สวมถุงมือยาง และหน้ากาก ป้องกันการสัมผัสสารพิษ จากวัตถุอันตราย ขณะให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย
1.ถ้าเกิดอาการพิษเนื่องจากสูดดม รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ใช้ และให้พักผ่อนในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หากอาการไม่ทุเลาให้ไปพบแพทย์
2. ถ้าเข้าตา ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด จำนวนมากนาน 15 นาที หากอาการไม่ทุเลาให้ไปพบแพทย์
3. ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่และน้ำ จนสะอาด ถ้าเปื้อนเสื้อผ้า ให้รีบอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที
4.ถ้าเข้าปากใฟ้รีบบ้วนน้ำล้างปาก หากกลืนกิน ห้ามทำให้อาเจียน และห้ามให้น้ำ เครื่องดื่ม หรืออาหารใดๆทั้งสิ้น รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ ทันทีพร้อมภาชนะบรรจุ และฉลาก

คำแนะนำสำหรับแพทย์:
1.รักษาตามอาการ
2. หากกลืนกินเข้าไปจำนวนมาก ให้ผู้ป่วยกิน activated charcoal 25กรัม ผสมน้ำ 300มล. และ sorbital 70% 1-2 ml/kg น้ำหนักตัว (เด็กต่ำกว่า 12ปี ลดขนาด เป็น sorbitol 35% 1.5-2.3 ml/kg น้ำหนักตัว)

1.โรคลำต้นเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora cyperi (Ideta), อัตราการใช้ 12 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีในระยะต้นพืชสูงประมาณ 1 เมตร จากนั้นพ่นห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์

2.โรคเน่าเข้าไส้หรือเน่าดำ: เชื้อสาเหตุ Phytophthora palmivora (Butl.) Butl., อัตราการใช้ 40 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีให้ทั่วต้น

3.โรครากและโคนเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora palmivora (Butler) Butler, อัตราการใช้ 50-60 กรัม/ น้ำ 1 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีให้ทั่วต้น. ใช้ทาบริเวณแผล ซึ่งก่อนทาต้องถากเปลือกออกบางๆ จนถึงเนื้อดีที่อยู่บริเวณรอบๆเพื่อให้การดูดซึมดีขึ้น

4.โรคต้นเน่า: เชื้อสาเหตุ Pythium aphanidermatum อัตราการใช้ 10 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีให้ทั่วทั้งใบเพื่อป้องกันการระบาดของโรค แต่ไม่สามารถรักษาต้นที่เป็นโรคแล้ว

5.โรคเน่าคอดิน: เชื้อสาเหตุ Phytophthora nicotianae B.de Hannvar.parasitica (Dast.) Waterh. และ Rhizoctonia solani Kuehn, อัตราการใช้ 7 กรัม/ เมล็ด 1 ก.ก., วิธีใช้ ใช้คลุกเมล็ดก่อนปลูก

6.โรคใบไหม้หรือใบจุดตาเสือ: เชื้อสาเหตุ Phytophthora colocasiae Rac., อัตราการใช้ 2-3 กรัม/ ต้น., วิธีใช้ หยอดลงไปที่โคนต้นจะสามารถป้องกันได้ประมาณ 1 เดือนขึ้นไป

7.โรคยอดเน่าหรือโคนเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora Parasitica Dastur., อัตราการใช้ 20-40 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร., วิธีใช้ จุ่มหน่อพันธ์ก่อนปลูก หลังจากปลูก ป้องกันโดยการพ่นที่ยอดทุกๆ 2 เดือน

8.กล้ายางพารา : โรคใบร่วง ใช้อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นกล้ายางทุก 7-14 วัน ควรป้องกันโดยพ่นในช่วงฤดูฝนก่อนพบอาการใบร่วง

9. ยางพารา : โรคเส้นดำ ใช้อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ทาหน้ากรีดยางทุก 2-4 วันหรือทุกครั้งที่กรีดยาง ในช่วงฝนตกชุกให้ใช้อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรทาที่หน้ากรีดยางทันทีที่มีโอกาส

ประโยชน์และวิธีการใช้: ใช้ป้องกันและกำจัดโรคพืช ดังนี้

พริก:

โรคพืช: โรคแอนแทรคโนส (amthracnose) ในพริก ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา Collectotrichum gloeosporioides และ Collectotrichum capasici

อัตราการใช้ต่อน้ำ20ลิตร: 30 มิลลิลิตร

วิธีการใช้: พ่นเมื่อพบหารระบาดของโรค พ่นซ้ำทุก 7 วัน


ข้าว:

โรคพืช: โรคกาบใบแห้ง 9sheath blight) ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา Rhizoctonia solani (Thanatephorus cucumeris)

อัตราการใช้ต่อน้ำ20ลิตร: 30 มิลลิลิตร

วิธีการใช้: พ่น2 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อพบการระบาดของโรค และครั้งที่ 2หลังจากพ่นครั้งแรก 10 วัน

ไบโอเซ็นเซอร์ (บาซิลลัส ซับทิลิส Bacillus subtilis) 100กรัม

ประโยชน์และวิธีใช้: ใช้ป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนส Anthracnose ในพริก ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides และ Colletotrichum capsici


วิธีใช้: ใช้อัตรา 100กรัม ต่อน้ำ20ลิตร พ่นเมื่อพบการระบาดของโรค และพ่นซ้ำทุก 7วัน ควรพ่นในเวลาเช้าตรู่ หรือช่วงเวลาเย็น

วิธีเก็บรักษา: เก็บในภาชนะปิดแน่น มีฉลากปิดอยู่ และไม่ให้ถูกแสงแดด เก็บในที่แห้งและเย็นหรืออุณหภูมิห้อง ห่างไกลจากเด็ก อาหาร น้ำดื่ม สัตว์เลี่ยง และเปลวไฟ


คำเตือน: ฟอร์แทรน เป็นเชื้อจุลินทรีย์ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการใช้ และปลอดภัยต่อผู้ใช้ และสภาพแวดล้อม ผู้ใช้ควรปฎิบัติ ดังนี้
1. ห้ามดื่มน้ำ กินอาหาร หรือสูบบุหรี่ในขณะปฎิบัติงาน
2. ห้ามเทเชื้อที่เหลือ หรือล้างภาชนะบรรจุ อุปกรณ์ เครื่องพ่นสารลงในแม่น้ำ ลำคลอง หรือบริเวณใกล้เคียง เมื่อใช้เชื้อหมดแล้ว
3.ห้ามใช้ไฟเผาภาชนะบรรจุ หรือนำกลับมาใช้อีก
4.ห้ามเด็ก และผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าาภายในบริเวณพ่นเชื้อ
5.ขณะผสม ต้องสวมถุงมือและหน้ากาก ใช้ไม้กวน
6.ขณะพ่นเชื้อ ต้องอยู่เหนือลมเสมอ
7.ต้องล้างมือ และล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำ ก่อนกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือสูบบุหรี่
8.หลังจากทำงานเสร็จแล้ว ต้องอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า และซักชุดที่สวมทำงานให้สะอาด ภาชนะเมื่อใช้หมดแล้ว ให้กลั้วล้างด้วยน้ำเปล่า 3 ครั้ง กำจัดภาชนะโดยการฝังดิน
9.ระวัง อย่าให้เข้า ปาก ตา จมูก ผิวหนัง หรือถูกเสื้อผ้า
10. สารนี้เป็นอันตรายต่อหนอนไหม ห้ามพ่นใกล้เคียงบริเวณที่เลี้ยงไหม และแปลงหม่อน


อาการเกิดพิษ: ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับการเกิดพิษของเชื้อนี้

การแก้พิษเบื้องต้น:
1.การเกิดพิษเนื่องจากการสูดดม รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ใช้ ให้พักผ่อนในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หากอาการไม่ทุเลาให้ไปพบแพทย์
2. หากเข้าตา ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากนาน 15 นาที หากอาการไม่ทุเลา ให้ไปพบแพทย์
3.ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างออกด้วยสบู่และน้ำนานๆ จนสะอาด ถ้าเปือนเสื้อผ้า ให้รีบอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที
4.ถ้าเข้าปาก ให้รีบบ้วนน้ำล้างปาก ห้ามกลืนกิน ห้ามทำให้อาเจียน และห้ามให้น้ำ เครื่องดื่ม หรืออาหารใดๆ ทั้งสิ้น รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที พร้อมภาชนะบรรจุและฉลาก

คำแนะนำสำหรับแพทย์: รักษาตามอาการ

สารสำคัญ: methyl N-(methoxyacetyl)-N-(2,6-xylyl)-DL-alaninate 25% WP



1.โรคลำต้นเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora cyperi (Ideta), อัตราการใช้ 12 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีในระยะต้นพืชสูงประมาณ 1 เมตร จากนั้นพ่นห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์

2.โรคเน่าเข้าไส้หรือเน่าดำ: เชื้อสาเหตุ Phytophthora palmivora (Butl.) Butl., อัตราการใช้ 40 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีให้ทั่วต้น เมื่อพบการระบาดของโรค และพ่นซ้ำทุกๆ 7 วัน

3.โรครากและโคนเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora palmivora (Butler) Butler, อัตราการใช้ 50-60 กรัม/ น้ำ 1 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีให้ทั่วต้น. ใช้ทาบริเวณแผล ซึ่งก่อนทาต้องถากเปลือกออกบางๆ จนถึงเนื้อดีที่อยู่บริเวณรอบๆเพื่อให้การดูดซึมดีขึ้น

4.โรคต้นเน่า: เชื้อสาเหตุ Pythium aphanidermatum อัตราการใช้ 10 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร, วิธีใช้ พ่นสารเคมีให้ทั่วทั้งใบเพื่อป้องกันการระบาดของโรค แต่ไม่สามารถรักษาต้นที่เป็นโรคแล้ว

5.โรคเน่าคอดิน: เชื้อสาเหตุ Phytophthora nicotianae B.de Hannvar.parasitica (Dast.) Waterh. และ Rhizoctonia solani Kuehn, อัตราการใช้ 7 กรัม/ เมล็ด 1 ก.ก., วิธีใช้ ใช้คลุกเมล็ดก่อนปลูก

6.โรคใบไหม้หรือใบจุดตาเสือ: เชื้อสาเหตุ Phytophthora colocasiae Rac., อัตราการใช้ 2-3 กรัม/ ต้น., วิธีใช้ หยอดลงไปที่โคนต้นจะสามารถป้องกันได้ประมาณ 1 เดือนขึ้นไป

7.โรคยอดเน่าหรือโคนเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora Parasitica Dastur., อัตราการใช้ 20-40 กรัม/ น้ำ 20 ลิตร., วิธีใช้ จุ่มหน่อพันธ์ก่อนปลูก หลังจากปลูก ป้องกันโดยการพ่นที่ยอดทุกๆ 2 เดือน

8.กล้ายางพารา : โรคใบร่วง ใช้อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นกล้ายางทุก 7-14 วัน ควรป้องกันโดยพ่นในช่วงฤดูฝนก่อนพบอาการใบร่วง

9. ยางพารา : โรคเส้นดำ ใช้อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ทาหน้ากรีดยางทุก 2-4 วันหรือทุกครั้งที่กรีดยาง ในช่วงฝนตกชุกให้ใช้อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรทาที่หน้ากรีดยางทันทีที่มีโอกาส


วิธีเก็บรักษา: ต้องเก็บ metalaxyl ในภาชนะเดิมที่ปิดแน่น มีฉลากติดอยู่ และไม่ให้ถูกแสงแดด สถานที่เก็บต้องให้แห้งและเย็น ห่างไกลจากเด็ก อาหาร น้ำดื่ม สัตว์เลี้ยงและเปลวไฟ


คำเตือน: เมทาแลกซิล เป็นวัตถุอันตรายที่มีพิษ ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ


ข้อปฎิบัติสำหรับผู้ใช้:
- ห้ามดื่มน้ำ กินอาหาร หรือสูบบุหรี่ในขณะปฎิบัติงาน
- ห้ามคน และนำสัตว์ เข้าไปในบริเวณที่พ่นอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ห้ามเทสารที่เหลือ หรือล้างภาชนะบรรจุ อุปกรณ์เครื่องพ่นสาร ลงในแม่ย้ำลำคลอง หรือบริเวณใกล้เคียง
- ห้ามใช้ไฟเผาภาชนะบรรจุ หรือนำกลับไปใช้อีก
- ห้ามเด็ก และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยังบริเวณที่กำลังฉีดพ่น
- ขณะผสม ต้องสวมถุงมือ และหน้ากาก เพื่อป้องกันไม่ให้สารเข้มข้นถูกผิวหนัง และกระเด็นเข้าตา การผสมให้ใช้ไม้กวน
- ขณะพ่นต้องอยู่เหนือลมเสมอ และควรสวมถุงมือและหน้ากาก
- ต้องล้างมือและหน้า ให้สะอาดด้วย ด้วยสบู่และน้ำ ก่อนกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือสูบบุหรี่
- หลังจากทำงานเสร็จแล้ว ต้องอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า และซักชุดที่สวมทำงานให้สะอาด
- ภาชนะเมื่อใช้หมดแล้ว ให้กลั้วล้างด้วยน้ำ 3 ครั้ง และรวมเอาน้ำล้างไปใช้ผสมฉีดพ่น
- กำจัดภาชนะบรรจุ โดยทำลายแล้วฝังดิน หรือรวมทิ้งให้ปลอดภัย
- ระวัง อย่าให้เข้าปาก ตา จมูก หรือถูกผิวหนัง และเสื้อผ้า
- เป็นพิษต่อปลา: ต้องระวังการชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ



อาการเกิดพิษ: ผู้ได้รับพิษอาจมีอาการเซื่องซึม หายใจขัด เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อสั่นกระตุก มือสั่น

การแก้พิษเบื้องต้น:
- ต้องสวมถุงมือยาง และหน้ากาก ป้องกันการสัมผัสสารพิษจากวัตถุอันตรายขณะให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย
- ถ้าเกิดพิษเนื่องจากการสูดดม รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ใช้ และให้พักผ่อนในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หากอาการไม่ทุเลารีบไปพบแพทย์
- ถ้าเข้าตาให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากนาน 15 นาที หากอาการไม่ทุเลา รีบไปพบแพทย์
-ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างออกด้วยสบู่และน้ำจนสะอาด
- ถ้าเปื้อนเสื้อผ้าให้รีบอาบน้ำ แะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที
- ถ้าเข้าปาก ให้รีบบ้วนปาก
- หากกลืนกินและยังมีสติ กระตุ้นให้อาเจียน โดยให้ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว แล้วล้วงคอ จากนั้นรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที พร้อมภาชนะบรรจุและฉลาก ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ห้ามทำให้อาเจียน และห้ามให้น้ำ เครื่องดื่ม หรืออาหารใดๆทั้งสิ้น

คำแนะนำสำหรับแพทย์:
1. รักษาตามอาการ
2. หากกลืนกินเข้าไปจำนวนมาก ไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง และยังไม่อาเจียนออกมา ให้ขับพิษออกโดยใช้ activated charcoal 25 g. ผสมน้ำ 300 ml. ตามด้วย sorbitol 70% 1-2 ml/kg น้ำหนักตัว (เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ลดขนาดเป็น sorbito; 35% 1.5-2.3 ml/kg น้ำหนักตัว)

ชีวินทรีย์ลดการเข้าทำลายเชื้อราโรคพืช ชื่อ บีเอสพลายแก้ว: เป็นผลิตภัณฑ์จากชีวินทรีย์ ในกลุ่มบาซิลลัส ซับธิลิส ที่คัดเลือกเฉพาะสายพันธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ มีคุณสมบัติ ในการลดการเข้าทำลายของเชื้อราโรคพืช ที่ทำให้เกิดโรคที่สำคัญในประเทศไทย เช่น โรครากเน่า โคนเน่า โรคผลเน่าของทุเรียน พริกไทย พืชตระกูลส้ม มะนาว มะละกอ สับปะรด และยางพาราที่เกิดจากเชื้อราฟัยท๊อพเธอรา โรคกล้าเน่า ยุบตายในพืขตระกูลแตง มะเขือเทศ ถั่ว พริก ผักชนิดต่างๆ และไม้ดอก ไม้ประดับ ที่เกิดจากเชื้อรา พิธเที่ยม โรซอคโทเนีย และสเคอร์โรเทียม

วิธีการใช้:
1) หมักขยายด้วยไข่ไก่สด: ใช้น้ำ15-20ลิตร ไข่ไก่ 5 ฟอง สเม็คไทต์ 5 ขีด น้ำมันพืช 2 ช้อนชา กวนให้เข้ากัน เติมชีวินทรีย์บีเอสพลายแก้ว 5 กรัม ใช้เครื่องเป่าอากาศ แบบตู้ปลา ทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมงอย่าให้เกิน และนำมาผสมกับน้ำ 100 ลิตร นำไปฉีดพ่น

2) หมักกับมะพร้าว: ใช้มะพร้าวอ่อน 1 ผล เปิดฝาแง้มไว้แล้วเติม ชีวินทรีย์ บีเอสพลายแก้ว 5 กรัมปิดฝาทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง นำมาผสมกับน้ำ 20ลิตร นำไปฉีดพ่น

3) หมักกับนมยูเอชที แลคตาซอย ไวตามิลค์: นำนมสด หรือนมถั่วเหลืองใส่ถุงแล้วผูกหูข้างหนึ่ง เติม ชีวินทรีย์ บีเอสพลายแก้ว 5 กรัม แขวนทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง นำมาผสมกับน้ำ 20ลิตร นำไปฉีดพ่น

หลักการและเทคนิคการใช้ ชีวินทรีย์ บีเอสพลายแก้ว:
1) ชีวินทรีย์ บีเอสพลายแก้ว เป็นสิ่งมีชีวิต ที่จะถูกทำลายโดยแสงอัลตร้าไวโอเลต (UV) จากแสงแดด ดังนั้นจึงควรฉีดพ่นตอนเย็นแดดอ่อนๆ จะช่วยยืดอายุ ชิวินทรีย์ บีเอสพลายแก้วบนต้นพืชให้มีประสิทธิภาพอยู่ได้นาน

2) เชื้อรา และโรคบางชนิด เช่น โรคเน่าคอร่วง โรคผลเน่า หน้ายางตาย ราสนิม มักอาศัยอยู่ บนด้านล่างของใบ และผล ดังนั้นการฉีดพ่นให้ครอบคลุมบริเวณส่วนบน และล่างของใบพืช จึงจะสามารถ ลดการเข้าทำลายของเชื้อราโรคพืช ำด้อย่างมีประสิทธิภาพ

3) ปรับหัวเครื่องฉีดพ่น ให้เป็นละอองเล็กที่สุด จะช่วยให้ละอองชีวินทรีญ์เกาะผิวได้ดี

4) ควรผสมสารจับใบ ในการฉีดพ่นทุกครั้ง ตามอัตราที่แนะนำ

5) ควรฉีดพ่น ชีวินทรีย์ บีเอสพลายแก้ว เมื่อสำรวจพบเชื้อราโรคพืช ตั้งแต่ยังระบาดไม่มาก ซึ่งจะลดการเข้าทำลายของเชื้อราโรคพืชได้ดีกว่า ในช่วงที่พบเชื้อราโรคพืชระบาดรุนแรง

4) ไม่ควรผสม ชีวินทรีย์บีเอสพลายแก้ว กับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ในคราวเดียวกัน เนื่องจากสารบางชนิด อาจทำให้ ชีวินทรีย์บีเอสพลายแก้ว เสื่อมประสิทธิภาพได้

5) เนื่องจาก ชีวินทรีย์บีเอสพลายแก้ว เป็นจุลินทรีย์ที่ลดการเข้าทำลายของเชื้อราโรคพืช จึงอาจทำงานช้ากว่าใช้ยาเคมี ดังนั้นการใช้อัตราสูงกว่าคำแนะนำ ไม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และการใช้อัตราต่ำกว่าคำแนะนำ จะส่งผลให้ประสิทธิภาพลดน้อยลง จึงควรใช้ ชีวินทรีย์บีเอสพลายแก้ว ตามอัตราที่กำหนด

6) เมื่อพบกสรระบาดของเชื้อราโรคพืชที่รุนแรง ควรฉีดพ่นตามอัตราที่แนะนำ โดยการฉีดพ่น ติดต่อกัน 2 ครั้ง ระยะห่าง 3-4 วัน จะช่วยลดความเสียหายได้มากกว่า พ่นเพียงครั้งเดียว

ไตรโคเดอร์ม่า คือ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ มีหน้าที่ป้องกันและกำจัดเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรตพืช เช่นเชื้อราไฟท็อปเทอร่า, เชื้อราพิเทียม, เชื้อราฟูซาเรียม, เชื้อราเมล็ดผักกาด, ไรชอคโทเนีย., etc


เป็นสารชีวภาพ ไม่เป็นอันตรายต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ใช้ป้องกันและกำจัด โรคราสนิม,โรคราน้ำค้าง,โรคแคงเกอร์,โรคแอนแทรคโนส,โรคโคนเน่า,โรคกิ่งเน่า,โรครากเน่า,โรคใบจุด,โรคเถายุบ,โรคเถาเหี่ยว

อัตราการใช้:
1) กรณีใช้แบบแห้ง: นำไตรโคเดอร์ม่า 1 ส่วน + ปุ๋ยอินทรีย์ 20 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน

2) กรณีฉีดพ่น: ไตรโคเดอร์ม่า 100 กรัม + น้ำ 20ลิตร ผสมให้เข้ากัน

ประโยชน์ และวิธีการใช้:
- ใช้รองก้นหลุมก่อนปลูก, ใช้โรยบางๆรอบทรงพุ่ม และใช้โรยบางๆให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก จะแก้ปัญหาเชื้อโรค/ เชื้อรา ได้

- ใช้เป็นประจำ: ฉีดพ่นทุกๆ 15 วัน จะแก้ปัญหาเชื้อโรค/ เชื้อรา ได้

น้ำสกัดสมุนไพร ป้องกันและกำจัดรา/ เชื้อโรคต่างๆ เป็นผลิตภัณฑ์ไร้สารพิษ คือ สมุนไพรป้องกันแมลงศัตรูพืช ประกอบด้วยสมุนไพรหลากหลายชนิด ที่ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี

วัตถุดิบที่ใช้ผลิต: สกัดจากสมุนไพรหลายชนิด เช่น ขมิ้นชัน, เปลือกมังคุด, กะบูร, หมาก, ข่าแก่, ว่านน้ำ, เปลือแค, เปลือกมะรุม และอื่นๆอีกมากมาย

ประโยชน์:
1. ป้องกัน และกำจัด เชื้อรา เชื้อราชนิดต่างๆ
2. ป้องกัน และกำจัด โรคแคงเกอร์ โรคราน้ำค้าง โรคแอนแทรคโนส และอื่นๆ
3. ป้องกัน และกำจัด โรครากเน่า-โคนเน่า
4. ประกอบด้วยเอนไซม์ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช

วิธีใช้: ใช้น้ำสกัดสมุนไพร 100ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร แล้วคนให้เข้ากัน ใช้ฉีดพ่นทางใบ ประมาณ 10 วัน/ ครั้ง กรณีมีเชื้อรา/เชื้อโรค จำนวนมาก ให้ฉีดพ่นทางใบ 5-7วัน/ครั้ง

ข้อควรระวัง: ไม่ควรใช้น้ำสกัดสมุนไพรร่วมกับสารเคมี

การเก็บรักษา: เก็บไว้ในที่ร่ม ปิดฝาให้สนิท อย่าให้ถูกแสงแดด


**************

**ปลีก-ส่ง: ติดต่อ/0819111285**

สารอินทรีย์ทาหน้ายางพารา และรอยบาดแผลของต้นไม้ชนิดสำเร็จรูป ใช้ในการป้องกันและรักษาโรคต่างๆของพืช ได้แก่ ยางพารา ทุเรียน เงาะ ไม้ผลต่างๆ ที่เกิดจากการกรีดยาง ตัดแต่งกิ่ง และรอยแตกของเนื้อไม้ ที่เกิดจากการทำลายของโรคราต่างๆ เช่น ยางไหล กิ่งหัก กิ่งแตก ทั้งที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย ตลอดจนช่วยในการเสริมสร้างการเจริญเติบโต และความสมบูรณ์ให้กับต้นไม้ ใช้ทาบาดแผลหรือทาโคนต้นไม้ เพื่อป้องกันและรักษาเนื้อไม้

คุณสมบัติ:
- เสริมเปลือกใหม่ ปรับสภาพหน้ายางพาราให้อ่อนนุ่ม
- ป้องกัน และรักษาโรคเส้นดำ เปลือแตก ยางไหล กิ่งเปลือย ลำต้นเน่า
- เพิ่มความข้นของน้ำยางพารา(เพิ่มน้ำหนีกต่อแผ่น)
- เพิ่มปริมาณของน้ำยางพารา (เพิ่มจำนวนแผ่น)
- เพิ่มการผลิตและการไหลของน้ำยางพารา

วิธีใช้:
ใช้แปรงทาสีจุ่มได้ทันทีโดยไม่ต้องผสมน้ำ ทาบริเวณที่เป็นแผล รอยกรีด รอยแตก รอยหัก ของกิ่งไม้

1) ป้องกันและรักษาโรค เส้นดำ เปลือกแตก ยางไหล กิ่งเปลือย ลำต้นเน่า: ใช้แปรงทาสีจุ่มสารอินทรีย์พารา แล้วทาบริเวณรอยกีดยาง หรือรอบบาดแผลที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ทุกๆ 5-7วัน ในช่วงที่ฝนตกชุก หรือทุกครั้งที่มีการกรีดยาง
2) รักษาโรคหน้ายา, หน้ายางเน่า และสร้างเปลือใหม่: ใช้แปรงทาสีจุ่มสารอินทรีย์พารา แล้วทาบริเวณรอยกีดยาง หรือรอบบาดแผลที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ทุกๆ 3-5วัน ในช่วงที่ฝนตกชุก หรือ 7-10 วัน ในช่วงปลอดฝน
3) ปรับสภาพของหน้ายางที่แห้งตาย หรือแข็งกระด้างให้กับมาอ่อนนุ่ม มีน้ำยางให้กรีดเหมือนเดิม: ใช้แปรงทาสีจุ่มสารอินทรีย์พารา แล้วทาบริเวณรอยกีดยาง หรือรอบบาดแผลที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว 5-6 ครั้ง ห่างกัน 7-10วัน ต่อ ครั้ง

สารชีวภาพกำจัดเชื้อรา และแบคทีเรีย: เป็นสารชีวภาพสกัดเข้มข้น จากจุลินทรีย์ธรรมชาติ เช่น บาซิลลัส แอซิด สเตรปโตคอกคัส เปสิโอค็อกคัส และผ่านการรับรองผลจากนักวิชาการเกษตร

คุณสมบัติ: ใช้ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย เช่น ราสนิม ราน้ำค้าง เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรครากเน่า โคนเน่า ใบแห้ง ของไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ผล พืชผักทั่วไป และยับยั้งแบคทีเรียได้ดี

วิธีใช้และอัตราการใช้: สารสกัดชีวภาพ 1-2 ช้อนโต๊ะ (5-10ซีซี) ผสมน้ำ 1ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้นและใบ หรือผสมน้ำรดให้ทั่วบริเวณราก ใช้ทาแผลเน่า ทุก 4-7วัน จนกว่าจะหายจากโรค



**โหลละ 340 บาท***

ปลีก-ส่ง: โทร 081-9111285, 093-7411169

ใช้ป้องกันและกำจัดโรคพืช

- โรคราแป้ง: ใช้ 6 กรัม ต่อ น้ำ 20 ลิตร พ่นระยะแทงช่อดอกทุกๆ 15 วัน
- โรคแอนแทรคโนสหรือผลเน่า: ใช้ 6-10 กรัม ต่อ น้ำ 20 ลิตร แช่ผล หรือพ่นระยะแตกใบอ่อนก่อนดอกบาน และระยะติดผลอ่อน พ่นซ้ำตามความจำเป็นห่างกัน 10-14 วัน

สารอินทรีย์สกัด ขนาดบรรจุ 750 ซีซ๊ ใช้สำหรับ กำจัดและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคพืชที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส เช่น รากเน่า โคนเน่า โรคจุดวงแหวน ราน้ำค้าง ราสีม่วง ราสนิม แคงเกอร์ แอนแทรคโนส โรคกาบใบแห้ง โรคใบจุด โรคใบไหม้ และอื่นๆ


วิธีและอัตราการใช้:
- เขย่าขวดก่อนใช้ทุกครั้ง
- คลายหัวฉีดที่ล็อคอยู่ ปรับตั้งหัวฉีดให้น้ำที่ออกมาเป็นฝอยๆ
- ฉีดช่วงเช้า หรือตอนเย็นที่อากาศไม่ร้อน
- ฉีดพ่นก่อนปลูก 5-7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ที่อยู่บนดิน และใต้ดิน
- ฉีดพ่นลงดินหลังปลูก เพื่อป้องกันเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส
- ใช้ราดโคนต้น เพื่อรักษาโรคเน่า และโรคต่างๆ
- ใช้ฉีดพ่น หรือรดให้ทั่วทั้งใบและลำต้นทุกๆ 7-10 วัน เพื่อป้องกันเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสที่เกิดจากพืช
- เมื่อปลอดโรคแล้ว ฉีดพ่นหรือรดทุกๆ 1-3 เดือน ต่อ ครั้ง


* จำหน่ายปลีก/ ส่ง: ติดต่อ คุณเปิ้ล/ 081-9111285 *

สารสกัดจุลินทรีย์ชีวภาพ ช่วยยับยั้งโรคที่เกิดจากเชื้อรา และแบคทีเรีย เช่น รากเน่า ใบเน่า โคนเน่า ผลร่วง ผลเน่า ใบจุด ใบไหม้ แอนแทรคโนส ของไม้ดอก ม้ประดับ ไม้ผล พืชผักสวนครัว ทั่วไป

โฟลิ-อาร์ ฟอส (ฟอสฟอรัส แอซิด) ใช้ป้องกันและกำจัด โรครากเน่า โคนเน่า ที่เกิดจากเชื้อ ไฟทอฟโธรา

ราน็อค(Ranoc)เป็นสารชีวภาพสกัดจากสมุนไพรไทย ไม่เป็นอันตรายต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ใช้ป้องกันและกำจัด โรคจากเชื้อรา,รากเน่า,โคนเน่า,แคงเกอร์,แอนแทรคโนส,ใบจุด,ใบไหม้,ราแป้ง,ราน้ำค้าง,ต้นเหี่ยว,ใบจุด,ใบแห้ง,ผลเน่า,ราน้ำค้าง,ไส้เน่า,เมล็ดด่าง,เมล็ดร่วง

ใช้ป้องกัน และกำจัด โรคราสนิม

ใช้ป้องกัน และกำจัด โรคกาบใบแห้ง โรคราสนิม และ โรคอื่นๆที่เกิดจากเชื้อรา

ใช้ป้องกัน และกำจัด โรคราแป้ง แอนแทรคโนส หรือ ผลเน่า ใบจุดสีน้ำตาล ราแป้ง ใบจุด เน่าคอดิน ใบจุดเป้ากระสุน ใบจุดสีน้ำตาล

ไตรโคเดอร์ม่า คือ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ มีหน้าที่ป้องกันและกำจัดเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรตพืช เช่นเชื้อราไฟท็อปเทอร่า, เชื้อราพิเทียม, เชื้อราฟูซาเรียม, เชื้อราเมล็ดผักกาด, ไรชอคโทเนีย., etc


เป็นสารชีวภาพ ไม่เป็นอันตรายต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ใช้ป้องกันและกำจัด โรคราสนิม,โรคราน้ำค้าง,โรคแคงเกอร์,โรคแอนแทรคโนส,โรคโคนเน่า,โรคกิ่งเน่า,โรครากเน่า,โรคใบจุด,โรคเถายุบ,โรคเถาเหี่ยว

อัตราการใช้:
1) กรณีใช้แบบแห้ง: นำไตรโคเดอร์ม่า 1 ส่วน + ปุ๋ยอินทรีย์ 20 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน

2) กรณีฉีดพ่น: ไตรโคเดอร์ม่า 100 กรัม + น้ำ 20ลิตร ผสมให้เข้ากัน

ประโยชน์ และวิธีการใช้:
- ใช้รองก้นหลุมก่อนปลูก, ใช้โรยบางๆรอบทรงพุ่ม และใช้โรยบางๆให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก จะแก้ปัญหาเชื้อโรค/ เชื้อรา ได้

- ใช้เป็นประจำ: ฉีดพ่นทุกๆ 15 วัน จะแก้ปัญหาเชื้อโรค/ เชื้อรา ได้

1.โรคลำต้นเน่า: เชื้อสาเหตุ Phytophthora cyperi(Ideta)Ito. ,อัตราการใช้: 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรวิธีการใช้:พ่นสารเคมีในระยะต้นสูงประมาณ1เมตรจากนั้นพ่นระยะห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์
2. โรครากและ,เชื้อสาเหตุ Phytophthora palmivora (Butler)Butler. ,อัตราการใช้:80-100 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ,วิธีการใช้:ใช้ทาบริเวณแผลซึ่งก่อนทาให้ถากเปลือกจนถึงเนื้อดีที่อยู่บริเวณรอบๆเพื่อให้การดูดซึมดีขึ้น

3. โรคยอดเน่าหรือต้นเน่า ,เชื้อสาเหตุ Phytophthora parasitica Dastur. ,อัตราการใช้:50-100 กรัมต่อน้ำ20 ลิตร,วิธีการใช้:จุ่มหน่อพันธุ์ก่อนปลูก หลังปลูกพ่นที่ยอดทุกๆ 2 เดือน

4.โรครากและโคนเน่า,เชื้อสาเหตุ Phytophthora parasitica Dastur. ,อัตราการใช้:100-150 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร,วิธีการใช้:ใช้ทาแผลเน่าที่ถากเปลือกออกบางๆ ให้เห็นขอบเขตแผล และ อัตราการใช้:40 กรัมต่อน้ำ20 ลิตร,วิธีการใช้:รดดินบริเวณโคนต้น

5.โรคราน้ำค้าง,เชื้อสาเหตุ Plasmopara viticola(Berk&Curt) Berl de Toni,อัตราการใช้:25 กรัมต่อน้ำ20 ลิตร,วิธีการใช้:พ่นทุก 7 วัน 4-5 ครั้ง เริ่มพ่นเมื่อพบอาการโรค

6. กล้ายางพารา : โรคใบร่วง ใช้อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นกล้ายางทุก 7-14 วัน ควรป้องกันโดยพ่นในช่วงฤดูฝนก่อนพบอาการใบร่วง
7. ยางพารา : โรคเส้นดำ ใช้อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ทาหน้ากรีดยางทุก 2-4 วันหรือทุกครั้งที่กรีดยาง ในช่วงฝนตกชุกให้ใช้อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรทาที่หน้ากรีดยางทันทีที่มีโอกาส

เป็นยาชีวภาพ ไม่เป็นอันตรายต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์: ใช้ทำลายเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค รากเน่า โคนเน่า ที่เกิดจากเชื้อ Phytophthora Palmivora โรคกาบใบแห้ง ที่เกิดจากเชื้อ Rhizoctonia solani

เป็นยาชีวภาพ ไม่เป็นอันตรายต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม

ประโยชน์: ใช้ทำลายเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค รากเน่า โคนเน่า ที่เกิดจากเชื้อ Phytophthora Palmivora โรคกาบใบแห้ง ที่เกิดจากเชื้อ Rhizoctonia solani

ใช้ป้องกันและกำจัดโรคพืชจากเชื้อรา เช่น โรคราแป้ง โรคไหม้ โรคกาบใบแห้ง โรคใบซีดสีน้ำตาล โรคเมล็ดด่าง โรคใบจุด โรคแอนแทรคโนส โรคต้นไหม้ เป็นต้น